ความสำคัญของ ID Document Verification
“ขอดูบัตรประชาชนได้ไหม?”
เป็นคำคุ้นเคยที่ทุกคนต้องเคยโดน ตั้งแต่การเข้าโรงเรียนไปจนถึงการเปิดบัญชีธนาคารหรือทำธุรกรรมต่างๆ ยิ่งในปัจจุบันที่ส่วนใหญ่เป็นระบบดิจิทัล ทำให้การตรวจสอบและยืนยันตัวลูกค้าเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นอย่างมาก เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นลูกค้าจริงๆ ไม่มีการปลอมแปลงข้อมูล หรือเป็นเพียงผู้ที่มาแสวงหาผลประโยชน์จากการเป็นลูกค้า เพราะในปัจจุบันอาชญากรทางไซเบอร์มักหาวิธีการใหม่ๆ เพื่อที่จะปลอมแปลงข้อมูลระบุตัวตนอยู่เสมอ ซึ่งการยืนยันตัวตนด้วยเทคโนโลยีแบบเดิมๆ หรือใช้คนในการ Manual นั้นอาจไม่เพียงพออีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-bank) และผู้ให้บริการสินเชื่อดิจิทัล (Digital lenders) จึงต้องนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการตรวจสอบเอกสารประจำตัวของผู้ใช้งาน (ID Document Verification) มาใช้ในการพิจารณาสินเชื่อหรือบริการต่างๆ
การตรวจสอบเอกสารประจำตัว (ID Document Verification) คืออะไร?
การตรวจสอบเอกสารประจำตัว เป็นวิธีตรวจสอบว่าเอกสารระบุตัวตนของบุคคลจากรูปผ่าน Smartphone โดยที่สามารถอ่านและดึงข้อมูล (OCR) จากรูปภาพได้ มีเอกสารมากมายที่สามารถนำมาใช้ยืนยันตัวตนทางออนไลน์ได้ เช่น บัตรประจำตัวประชาชน (ID card), หนังสือเดินทาง (Passport), ใบขับขี่ (Driver’s License), เอกสารรายการเดินบัญชีธนาคาร (Bank Statement), ค่าสาธารณูปโภค (Utility Bill) หรือใบกำกับภาษี (Tax bill) ฯลฯ หลังจากนั้นจะนำข้อมูลที่ได้ ไปตรวจสอบตัวตนของผู้ใช้งานและแยกความแตกต่างระหว่างของจริงและของปลอม ช่วยให้ธุรกิจมีข้อมูลทางเลือก (Alternative Data) ในการพิจารณาลูกค้าได้ง่ายขึ้นและยกระดับการยืนยันตัวตนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ทางเลือกใหม่สำหรับ Non-banks และ Digital Lenders
การตรวจสอบและยืนยันเอกสารประจำตัว (ID Document Verification) เป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการเริ่มต้นใช้งานลูกค้าสำหรับผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-bank) และผู้ให้บริการสินเชื่อดิจิทัล (Digital lenders) มีหลายวิธีในการตรวจสอบเอกสาร แต่การใช้การตรวจสอบด้วยตนเองหรือพนักงาน ในการเปรียบเทียบบัตรประจำตัวของลูกค้ากับสำเนาจริงนั้นอาจใช้เวลานานและเกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย
นอกจากนี้ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีก็ได้มีโซลูชันใหม่ๆ สำหรับการทำ ID Document Verification ซึ่งโซลูชันเหล่านี้ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง อย่างเช่น การใช้ Machine learning, Facial recognition หรือ document authentication เพื่อยืนยันตัวตนของลูกค้าในเวลาไม่กี่วินาทีและสามารถทำผ่านออนไลน์ได้ อีกทั้งยังช่วยตรวจจับการฉ้อโกงได้แบบเรียลไทม์ สะดวกมากขึ้นสำหรับการ Onboarding ลูกค้าใหม่ให้กับผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-bank) และผู้ให้บริการสินเชื่อดิจิทัล (Digital lenders) ช่วยให้สามารถตรวจสอบตัวตนของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ลดการฉ้อโกงและปฏิบัติตามกฎระเบียบ (Regulatory Compliance)
พิสูจน์ตัวตนลูกค้าให้ง่ายและเร็วด้วย ID Document Verification ผ่าน UpPass
1. สร้างฟอร์มได้เอง โดยไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ด (No-Code)
UpPass เป็นหนึ่งในโซลูชัน ที่จะช่วยให้ธุรกิจสร้างฟอร์มการยืนยันตัวตนได้อย่างง่ายได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ด (No-Code) เพียงคลิก ลากและวาง ก็สามารถปรับแต่ง Customize แบบฟอร์มให้ตรงกับความต้องการเฉพาะของธุรกิจได้ และหลังจากที่สร้างฟอร์มเสร็จแล้ว ก็สามารถคัดลอกลิงก์, QR Code หรือ API CAll เพื่อนำไปเชื่อมต่อผ่าน Webhooks หรือ Integrate เข้ากับเว็บไซต์ของธุรกิจ
2. ฟีเจอร์ Document Spoofing Verification
UpPass ช่วยให้ธุรกิจสามารถยืนยันตัวตนลูกค้าได้ทั่วโลก ทั้งลูกค้าไทย ลูกค้าต่างชาติรวมถึงกลุ่มแรงงานต่างด้าว เพราะมีฟีเจอร์ Document Spoofing Verification มาใช้ตรวจจับการปลอมแปลง ไม่ว่าจะเป็น
- การโกงโดยการเปิดภาพจากหน้าจอ (Detects screen replay attacks) ภาพถ่ายบัตรประชาชนที่ได้ถ่ายจากบัตรจนิง แต่ถูกเปิดจากจอ ทั้งจากจอโทรศัพท์และจอคอมพิวเตอร์
- การโกงโดยการถ่ายเอกสาร (Detects printed copy attacks) จับการปลอมแปลงบัตรที่มาจากการถ่ายเอกสาร ทั้งการถ่ายเอกสารเป็นภาพสีและขาวดำ
- โกงโดยการสวมรอยรูปภาพ (Detects portrait overlay attacks) เช่น บัตรที่ถูกสวมรอยรูปภาพด้วยการนำรูป portrait มาแปะทับ หรือการสวมรอยโดยการตัดต่อรูปภาพผ่านโปรแกรม photoshop และเปิดผ่านจอ
โดยฟีเจอร์ Document Spoofing Verification สามารถรองรับทั้งบัตรประชาชน บัตรใบขับขี่ หนังสือเดินทาง (Passport) หรือถึงบัตรชมพู (บัตรต่างด้าว) ได้มากกว่า 10,000 ประเภท กว่า 240 ประเทศและ 130 ภาษา รวมถึงข้อมูลทางเลือก (Alternative Data) ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เอกสารรายการเดินบัญชีธนาคาร (Bank Statement) และค่าสาธารณูปโภค (Utility Bill)
3. การต้อนรับลูกค้าอย่างราบรื่น (Customer onboarding)
สามารถเริ่มต้นธุรกิจด้วยความมั่นใจได้ตั้งแต่แรก เพราะมีเทคโนโลยี OCR (Optical Character Recognition) ที่แม่นยำในการดึงข้อมูลของลูกค้า ตรวจสอบ เปรียบเทียบและจัดเก็บเอกสารโดยอัตโนมัติ
และมีเทคโนโลยี Liveness Detection ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถถ่ายวิดิโอเซลฟี่เพื่อยืนยันตัวตน ได้ง่าย แค่มองตรง ไม่ต้อง หันซ้าย-หันขวา ก็สามารถรู้ว่าบุคคลที่ยืนยันตัวตนนั้นเป็นบุคคลจริงไม่ได้มีการนำภาพถ่ายมาใช้ แต่มีความแม่นยำสูง เพราะได้รับรองระดับสูงสุด The iBeta/NIST Level 2 ซึ่งสูงสุดในมาตรฐานการทำ Presentation Test สิ่งเหล่านี้จะช่วยลดความผิดพลาดของการกรอกข้อมูลและในการยืนยันตัวตน อีกทั้งยังส่งผลดีต่อประสบการณ์การใช้งานของลูกค้า (User Experience) ให้สะดวกมากขึ้น
4. พิสูจน์ตัวตนลูกค้าได้ง่ายและเร็วขึ้น
การทำ ID Document Verification ผ่าน UpPass จะให้การตอบสนองที่รวดเร็ว สามารถทำการตรวจสอบยืนยันทาดิจิทัลได้ในเวลาที่น้อยกว่าที่กำหนด ไม่เพียงแต่สำหรับผู้ให้บริการเท่านั้นแต่ยังรวมถึงลูกค้าด้วย สิ่งนี้จะช่วยลดความเสี่ยงของการฉ้อโกง (Fraud prevention) เร่งกระบวนการขอสินเชื่อ ให้ธุรกิจสามารถพิจารณาสินเชื่อ ได้มีประสิทธิภาพ แม่นยำ และรวดเร็วได้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเก็บรักษาข้อมูลออนไลน์ของผู้ใช้บริการอย่างปลอดภัยอีกด้วย
5. ปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบ (Regulatory Compliance)
การใช้กระบวนการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล สำหรับธุรกิจผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-bank) และผู้ให้บริการสินเชื่อดิจิทัล (Digital lenders) นั้น ก็ต้องมี “ระดับความเข้มงวดในการพิสูจน์ตัวตน (Identity Proofing) หรือมาตรฐาน IAL”เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดและกฎระเบียบพ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2562 ซึ่งช่วยลดโอกาสของการพิสูจน์ตัวตนที่ผิดพลาดไม่ตรงกับผู้ใช้งานและ ยกระดับการทำธุรกรรมออนไลน์ ให้ปลอดภัยตามมาตรฐานสากล
ถึงเวลาที่คุณควรจะเริ่มจัดการและใช้ประโยชน์จากเครื่องมือและเทคโนโลยีใหม่ๆ! การใช้โซลูชันจะช่วยให้ธุรกิจสามารถรู้จักเเละยืนยันตัวตนผ่านดิจิทัล อีกทั้งยังเป็นการแสดงถึงความใส่ใจในความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของลูกค้า เริ่มต้นสร้างฟอร์มพิสูจน์ตัวตนลูกค้าผ่านทางออนไลน์ได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ด ไม่ยุ่งยาก
หากคุณสนใจ UpPass สามารถ ทดลองใช้ฟรี หรือ ขอชม demo
อ่านบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่ https://uppass.io/blog/