วิธีการรับรองความถูกต้องที่จำเป็นสำหรับธุรกิจของคุณ

ความสำคัญของการรับรองความถูกต้อง (Authentication)

ความสำคัญของการรับรองความถูกต้อง (Authentication)

ในยุคปัจจุบันนี้ ไม่ว่าธุรกิจไหนต่างก็หันมาพึ่งพาดิจิทัล โดยมีการทำธุรกรรมออนไลน์เพื่อให้บริการลูกค้ามากขึ้น  ถึงแม้ว่าการทำธุรกรรมผ่านทางออนไลน์จะมอบความสะดวกสบายและการเข้าถึงให้กับลูกค้ามากขึ้น แต่ก็นำซึ่งความท้าทายและความเสี่ยงใหม่ๆ โดยเฉพาะในเรื่องของการฉ้อโกงหรือการปลอมแปลงตัวตน (Synthetic frauds) ที่มากขึ้น ถึงแม้ว่าธุรกิจจะมีการ onboarding ยืนยันตัวตนสำหรับลูกค้าหรือให้ลูกค้าตั้งรหัสผ่านแล้วนั้น  ก็ไม่ได้การันตีว่าบัญชีจะปลอดภัย 100% สิ่งเหล่านี้ทำให้มิจฉาชีพเจาะบัญชีเข้ามายากขึ้น แต่ไม่ได้แปลว่าจะเจาะเข้ามาไม่ได้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ทุกคนแชร์ชีวิตและไลฟ์สไตล์ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย ซึ่งทำให้ผู้ติดตามสามารถค้นหาข้อมูลส่วนตัวที่เกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็น  วันเดือนปีเกิด บ้านเกิด  สถานที่ศึกษา ปีการศึกษาที่จบหรือแม้กระทั่งชื่อสัตว์เลี้ยงตัวแรก 

การรับรองความถูกต้อง (Authentication) เป็นหนึ่งในกระบวนการตรวจสอบตัวตนของผู้ใช้งาน โดยทั่วไปจะใช้ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านร่วมกัน หรือข้อมูลประจำตัวในรูปแบบอื่นๆ เป็นองค์ประกอบสำคัญของการรักษาความปลอดภัยและให้ประโยชน์มากมายที่สามารถช่วยปกป้องข้อมูลและระบบที่ละเอียดอ่อนจากการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตซึ่งวิธีการรับรองความถูกต้อง (Authentication) มีหลายประเภท แต่ละวิธีมีจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง ในบทความนี้ เราจะพูดถึงวิธีการตรวจสอบสิทธิ์ประเภทต่างๆ ที่เป็นที่นิยมและใช้กันอย่างแพร่หลาย

1. การรับรองความถูกต้องด้วยรหัสผ่าน (Password-based authentication)

การยืนยันตัวตนด้วยรหัสผ่านเป็นรูปแบบการรับรองความถูกต้องและยืนยันตัวตนที่พบได้แพร่หลายมากที่สุด สำหรับวิธีนี้ผู้ใช้จำเป็นต้องป้อนชุดอักขระ (รหัสผ่าน) ที่ไม่ซ้ำกันเพื่อเข้าใช้งานระบบ รหัสผ่านจะถูกตรวจสอบกับชุดกฎที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เช่น ความยาวขั้นต่ำ ความซับซ้อนและการหมดอายุ 

ข้อดี

  • ความเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน เป็นวิธีที่ง่ายและคุ้นเคยสำหรับผู้ใช้งานในการตรวจสอบสิทธิ์ด้วยตนเอง
  • มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการพิสูจน์ตัวตนในรูปแบบอื่นๆ เนื่องจากไม่จำเป็นต้องสร้างและจัดการใบรับรองดิจิทัล
  • ยืดหยุ่นต้องผู้ใช้งาน เนื่องจากสามารถเลือกและเปลี่ยนรหัสผ่านได้ตามต้องการเพื่อรักษาความปลอดภัย

ข้อจำกัด

  •  มีความเสี่ยงที่จะถูกโจมตี สำหรับผู้ใช้งานที่ตั้งรหัสผ่านที่ไม่รัดกุมหรือถอดรหัสได้ง่าย เสี่ยงต่อการถูกโจมตีด้วย Social Engineering หรือ Phishing ในรูปแบบต่างๆ 
  • ผู้ใช้อาจใช้รหัสผ่านเดียวกันซ้ำกับหลายระบบหรือหลายแอปพลิเคชัน ซึ่งสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการละเมิดความปลอดภัยหากรหัสผ่านหลุดออกไป

2. การรับรองความถูกต้องด้วยหลายปัจจัย (Multi-Factor authentication: MFA)

MFA คือการใช้ปัจจัยหลายๆอย่างในการตรวจสอบและยืนยันตัวบุคคล  โดยทั่วไประบบ MFA จะเป็นการใช้เครื่องมือตั้งแต่ 2 อย่างขึ้นไปในการตรวจสอบและยืนยันความถูกต้อง ดังนี้

  • สิ่งที่คุณรู้ ‍ (What you know): เช่น Password หรือคำถามเฉพาะเพื่อกู้รหัสผ่าน
  • สิ่งที่คุณมี ( What you have): เช่น บัตรสมาร์ทการ์ด, SMS-OTP, อุปกรณ์บลูทูธ, Smartwatch หรือ authenticator device อื่นๆ
  • สิ่งที่คุณเป็น ‍(Who you are): เช่น ลายนิ้วมือหรือระบบจดจำใบหน้า
  • สิ่งที่คุณทำหรือที่ที่คุณอยู่‍ (What you do and where you are): เช่น การระบุที่อยู่โดยใช้ GPS หรือ IP Address 

ข้อดี

  • ความปลอดภัยที่สูงขึ้น” จากการเพิ่มปัจจัยในการรับรองความถูกต้องเข้าด้วยกัน เช่น การใช้ Password, SMS-OTP และ Biometric เพื่อรับรองความถูกต้องของผู้ใช้งาน 
  • ลดความเสี่ยงการละเมิดการเข้าถึงข้อมูลและซอฟต์แวร์
  • มีความปลอดภัยที่สูงกว่า แต่ก็สะดวกสบายน้อยกว่า

ข้อจำกัด

  • มีความยุ่งยากในการบริหารจัดการและการใช้งานสำหรับผู้ใช้งาน

3. การรับรองความถูกต้องด้วยไบโอเมทริกซ์ (Biometric authentication)

การรับรองความถูกต้องด้วยไบโอเมทริกซ์ คือ เทคโนโลยีที่สำหรับยืนยันตัวบุคคลโดยผสมผสานเทคโนโลยีทางด้านชีวภาพ ทางการแพทย์และเทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน เป็นการใช้ลักษณะเฉพาะของแต่ละคนมาใช้ในการระบุตัวบุคคลนั้นๆ เช่น ลายนิ้วมือ ม่านตา การจดจำใบหน้า หรือการจดจำเสียง 

ข้อดี

  • ช่วยเพิ่มความปลอดภัย ทำให้การปลอมแปลงหรือทำซ้ำยากขึ้น
  • ทำให้ผู้ใช้งานสะดวกและรวดเร็ว เพราะไม่จำเป็นต้องจำรหัสผ่านหรือพกบัตร ป้องกันการสูญหายของบัตร

ข้อจำกัด

  • เสี่ยงต่อการถูกโจมตีด้วยการปลอมแปลงด้วย Generative AI เช่น Synthetic Face ผ่านการทำ Deepfakes และก่อให้เกิดอาชญากรรมทางไซเบอร์ (cybercrimes) เช่น การโจรกรรมข้อมูลส่วนตัว (identity theft) และการขู่กรรโชกในโลกออนไลน์

4. Certificate-based authentication:

การรับรองความถูกต้องตามใบรับรองดิจิทัลหรือ Digital Certificate ที่ออกโดยบุคคลที่สามที่เชื่อถือได้ เพื่อใช้ในการยืนยันหรือพิสูจน์ตัวตน โดยสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลายช่องทาง เช่น

  • บุคคล (Personal Digital Certificate)
  • หน่วยงานหรือองค์กร (Enterprise Digital Certificate)
  • คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ (Computer/Equipment Digital Certificate)
  • เว็บไซต์ (SSL/TLS Digital Certificate)

ข้อดี

  • มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากใช้ใบรับรองดิจิทัลที่ปลอมแปลงหรือขโมยได้ยาก
  • สร้างของประสบการณ์ผู้ใช้ให้ง่ายขึ้น ผู้ใช้สามารถแสดงใบรับรองดิจิทัลต่อระบบได้เลย โดยลดความจำเป็นที่ผู้ใช้ต้องจำ Password
  • ความยืดหยุ่นที่เพิ่มขึ้น เพราะสามารถใช้ได้กับอุปกรณ์และแพลตฟอร์มที่หลากหลาย

ข้อจำกัด

  • มีความซับซ้อนในการดำเนินการและจัดการ ทั้งในกรณีที่ ใบรับรองดิจิทัลถูกเพิกถอน หรือการหาบุคคลที่สามที่เชื่อถือได้ในการออกและตรวจสอบใบรับรอง 
  • ค่าใช้จ่ายในการดำเนินกอาจสูงกว่าการตรวจสอบความถูกต้องในรูปแบบอื่นๆ เนื่องจากต้องมีการสร้างและจัดการใบรับรองดิจิทัล
  • ใบรับรองดิจิทัลอาจรองรับไม่ได้กับอุปกรณ์และแพลตฟอร์มทั้งหมด

5. การลงชื่อเข้าใช้แบบครั้งเดียว (Single sign-on) 

การลงชื่อเข้าใช้แบบครั้งเดียว Single Sign-On (SSO) คือ  เป็นวิธีการตรวจสอบสิทธิ์ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถลงชื่อเข้าใช้หลายแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ โดยการยืนยันตัวตนผู้ใช้เพียงครั้งเดียว หากผู้ใช้งานต้องการลงชื่อเข้าใช้ซอฟต์แวร์อื่นๆ ระบบ SSO ก็จะทำการ log-in ให้เองโดยอัตโนมัติ  โซลูชั่น SSO จะจัดเก็บข้อมูลการยืนยันรับรองที่หลากหลายสำหรับผู้ใช้ซอฟต์แวร์ทุกชิ้นที่ต้องการเข้าถึง จากนั้นจะตรวจสอบความถูกต้องของผู้ใช้กับระบบเหล่านั้นเมื่อจำเป็นต้องเข้าถึง

ข้อดี

  • สะดวกสบายสำหรับผู้ใช้งานมากกว่า เพียงแค่จำ 1 Password
  • ประหยัดเวลาสำหรับผู้ใช้งาน เนื่องจากที่ไม่ต้องใช้เวลาไปกับการ log-in ทุกครั้งในหลายๆ แอปพลิเคชัน

ข้อจำกัด

  • ถ้าแฮกเกอร์หรือมัลแวร์ต่างๆ สามารถเข้าถึง SSO ได้ ระบบที่ใช้ SSO ทั้งหมดจะตกอยู่ในความเสี่ยงทันที SSO 
  • หากระบบ SSO สูญหาย  ผู้ใช้งานจะไม่สามารถเข้าถึงระบบใดๆ ได้เลย 
  • ต้องถูกนำมาใช้คู่กับการเข้ารหัสและวิธีการตรวจสอบที่แข็งแรง เพื่อเพิ่มความปลอดภัยที่มากขึ้น

ประโยชน์ของการใช้เครื่องมือ Authentication

 ความสำคัญของเครื่องมือยืนยันตัวตนก็จะยิ่งมากขึ้น การเลือกใช้เครื่องมือวิธีการรับรองความถูกต้อง (Authentication Methods) สำหรับการรักษาความปลอดภัยหลายชั้นและลดความเสี่ยงของการเข้าถึงระบบและข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านกฎระเบียบต่างๆ (Regulatory Compliance) ของธุรกิจด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ระดับความปลอดภัยที่จำเป็น ความซับซ้อนของการใช้งานหรือประสบการณ์ของผู้ใช้

1. ป้องกันการฉ้อโกง (Prevent Fraud)

เมื่อมีการทำธุรกรรมออนไลน์เพิ่มขึ้น มีกิจกรรมการฉ้อโกงเพิ่มขึ้น เครื่องมือตรวจสอบความถูกต้องสามารถช่วยป้องกันการฉ้อโกงได้โดยการตรวจสอบว่าบุคคลที่ทำธุรกรรมคือใครที่อาจถูกอ้างว่าเป็น หนึ่งในเหตุผลหลักที่ธุรกิจควรมีเครื่องมือยืนยันตัวตนเพื่อป้องกันการฉ้อโกง กิจกรรมฉ้อฉล เช่น การโจรกรรมข้อมูลประจำตัว การฉ้อโกงบัตรเครดิต และการยึดครองบัญชี เป็นเรื่องปกติมากขึ้นในโลกออนไลน์ ด้วยการใช้เครื่องมือตรวจสอบสิทธิ์ ธุรกิจต่างๆ สามารถยืนยันได้ว่าบุคคลที่ทำธุรกรรมคือใครที่พวกเขาอ้างว่าเป็น สิ่งนี้สามารถลดความเสี่ยงของการฉ้อโกงได้อย่างมาก และช่วยประหยัดเวลาและเงินของธุรกิจที่อาจใช้ในการตรวจสอบและแก้ไขธุรกรรมที่เป็นการฉ้อโกง

2. ปกป้องข้อมูลที่ละเอียดอ่อน (Protect Sensitive Information)

เหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งที่ธุรกิจควรมีเครื่องมือยืนยันตัวตนคือเพื่อปกป้องข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เมื่อลูกค้าทำธุรกรรมออนไลน์ พวกเขาอาจต้องให้ข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลทางการเงิน เช่น หมายเลขบัตรเครดิตและหมายเลขประกันสังคม ข้อมูลนี้มีค่ามากสำหรับอาชญากรไซเบอร์ที่สามารถใช้ข้อมูลนี้เพื่อโจรกรรมข้อมูลประจำตัวหรือเพื่อผลประโยชน์ทางการเงิน เครื่องมือตรวจสอบความถูกต้องสามารถช่วยให้แน่ใจว่าข้อมูลที่ละเอียดอ่อนนี้สามารถเข้าถึงได้โดยผู้ใช้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ลดความเสี่ยงของการละเมิดข้อมูลและปกป้องความเป็นส่วนตัวของลูกค้า

3. เพิ่มความไว้วางใจ (Customer Trust)

 ธุรกิจสามารถแสดงให้ลูกค้าเห็นว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับความปลอดภัยอย่างจริงจัง สิ่งนี้สามารถเพิ่มความไว้วางใจและความภักดีของลูกค้า ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความสำเร็จของธุรกิจใดๆ นอกเหนือจากการป้องกันการฉ้อโกงและปกป้องข้อมูลที่ละเอียดอ่อนแล้ว เครื่องมือตรวจสอบความถูกต้องยังสามารถช่วยให้ธุรกิจต่างๆ เพิ่มความไว้วางใจของลูกค้าได้อีกด้วย เมื่อลูกค้ารู้ว่าธุรกิจมีการใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยเพื่อปกป้องข้อมูลของพวกเขา พวกเขามีแนวโน้มที่จะไว้วางใจธุรกิจนั้นด้วยข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลทางการเงินของพวกเขา สิ่งนี้สามารถนำไปสู่ความภักดีและการรักษาลูกค้าที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความสำเร็จของธุรกิจใดๆ

4. ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านกฎระเบียบต่างๆ (Regulatory Compliance) 

 หลายอุตสาหกรรม เช่น การเงินและการดูแลสุขภาพ มีข้อกำหนดด้านกฎระเบียบที่เข้มงวดเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลลูกค้า การใช้เครื่องมือตรวจสอบความถูกต้องสามารถช่วยให้ธุรกิจปฏิบัติตามข้อกำหนดเหล่านี้และหลีกเลี่ยงค่าปรับที่มีราคาแพงได้

ในยุคสมัยนี้เครื่องมือในการรับรองความถูกต้อง ไม่ใช่แค่เป็นเรื่องสำคัญ แต่มันคือ “สิ่งจำเป็น” และช่วยให้ธุรกิจมีระบบความปลอดภัยที่แข็งแรงขึ้นไปอีกระดับ การรับรองความถูกต้องแบบหลายบุคคลช่วยเพิ่มประสบการณ์ผู้ใช้และลดความซับซ้อนของการดูแลผู้ใช้ หากธุรกิจต้องการที่จะลดความเสี่ยงเหล่านี้ การใช้เครื่องมือเพื่อตรวจสอบความถูกต้องด้วยปัจจัยพิเศษ (Authentication Methods) ก็อาจเป็นอีกหนึ่งทางออกให้ เมื่อมีการทำธุรกรรมทางออนไลน์มากขึ้น

หากธุรกิจของคุณต้องการปรึกษาเกี่ยวกับโซลูชันในการรับรองความถูกต้อง (Authentication) และติดตั้งการตรวจจับการฉ้อโกงแบบ No-Code ไม่ว่าจะเป็น Biometric authentication หรือ Multi-Factor authentication: MFA สามารถติดต่อได้ที่ [email protected] หรือนัดหมายและขอชม Demo

อ่านบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่ https://www.uppass.io/blog/